10 จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปีของวงการเกมส์

17 ส.ค. 58 (13:56 น.) พิมพ์

แชร์เรื่องนี้

แชร์เรื่องนี้Line Twitter Facebook

10 จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปีของวงการเกมส์

10 จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปีของวงการเกมส์ 10 จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปีของวงการเกมส์

นับตั้งแต่วงการเกมลืมตาขึ้นมาบนโลกเมื่อช่วงปี 1970s ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากมาย หากเป็นเกมเมอร์ฮาร์ดคอร์ที่อยู่มาตั้งแต่ยุคนั้นคงจำการเปลี่ยนแปลงของวงการเกมแต่ละยุคได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องเกมในแต่ละยุค การเปลี่ยนแปลงในด้านกราฟิก จาก Dot Pixel มาเป็นโพลิก้อน จากสื่อประเภท Rom กลายมาเป็น CD, DVD และ BD จากเดิมที่เกมเล่นคนเดียวก็มีการเล่นแบบออนไลน์เพิ่มเข้ามา

แต่หลังจากยุคเกมออนไลน์แล้ว ก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในวงการเกมอยู่อีกซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้วงการเกมยังคงมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่เพื่อนๆจะสังเกตกันหรือไม่ ว่ามันเปลี่ยนแปลง หากนึกไม่ออกเรามีคำตอบอยู่ด้านล่างนี้

1. การเปลี่ยนแปลงของสื่อเกม

สมัยก่อนเวลาเราจะดูข่าวเกม คู่มือเกม เพื่อนๆเกมเมอร์ก็ต้องไปหาซื้อหนังสือนิตยสารเกม บทสรุปจากร้านหนังสือ แต่ในยุคดิจิตอลที่อินเตอร์เน็ตมีบทบาทมากขึ้น ข่าวเกม บทสรุป เฉลย คู่มือ ทุกอย่างมีให้อ่านในอินเตอร์เน็ตทั้งหมด ทำให้เกมเมอร์ซื้อสื่อเกมที่เป็นสิ่งพิมพ์น้อยลง สื่อเกมที่เป็นสิ่งพิมพ์ต่างจึงทยอยกันปิดตัว กลายเป็นสื่อออนไลน์กันแทน แม้แต่ Edge นิตยสารเกมยอดฮิตของอเมริกาในอดีต แม้ปัจจุบันสื่อเกมแบบสิ่งพิมพ์จะยังมีขาย แต่ก็น้อยลงกว่าเดิมมาก สื่อเกมสิ่งพิมพ์ในไทยเองก็ยังมีขายให้เห็นอยู่บ้าง

2. ยักษ์ล้ม! ขาลงของเหล่าค่ายเกมญี่ปุ่น

ในสมัยก่อนเกมดังๆก็ต้องเป็นเกมจากค่ายญี่ปุ่น Final Fantasy, Resident Evil, Tekken และอื่นๆ แต่ปัจจุบันไลฟ์สไตล์การเล่นเกมเกมเมอร์เปลี่ยนไป ทำให้เกมฟอร์มยักษ์ต่างๆทำเงินได้น้อยลง ทางค่ายเกมญี่ปุ่นจึงไม่กลาลงทุนสร้างเกมฟอร์มยักษ์กันมาก แต่หันไปเน้นทำเกมมือถือ หรือเกมออนไลน์ต้นทุนต่ำเกรด B ออกมาแทน เพราะลงทุนน้อยและทำกำไรได้มากกว่า ปัจจุบันเกมฟอร์มยักษ์จากญี่ปุ่นจึงไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าของตะวันตกที่มีออกมาเรื่อยๆ

3. ธุรกิจเกมยิ่งใหญ่ไม่แพ้ภาพยนตร์แล้ว

เรามักจะได้ยินข่าวว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นทำเงินหลายพันล้าน แต่ในปัจจุบันวงการเกมก็ทำเงินได้สูงไม่แพ้ภาพยนตร์เลย แถมงบประมาณในการสร้างก็ไม่น้อยหน้าภาพยนตร์ด้วย ยกตัวอย่างเกม Destiny เมื่อปี 2014 ลงุทนไป 140 ล้านดอลล่าห์สหรัฐฯ, และ Grand Theft Auto V ที่ลงทุนไปถึง 266 ล้านดอลล่าห์สหรัฐฯ ซึ่ง GTA V ก็คุ้มค่าเมื่อทำยอดขายได้ถึง 2,000 ล้านดอลล่าห์สหรัฐฯ ทำเงินได้มากกว่าภาพยนตร์ดังๆอีก

4. วงการเกมเน้นเนื้อเรื่องกันมากขึ้น

จากแต่เกมมันมีแต่เกมเดินหน้าลุย เป็นด่่านๆ Stage ไปเรื่อยๆจนถึงบอส แต่ปัจจุบันอย่างที่กล่าวไปในข้อ 3 ว่าวงการเกมนั้นไม่ต่างจากวงการภาพยนตร์เลย จึงเน้นการใส่เนื้อเรื่องไปในเกมมากขึ้น ให้ผู้เล่นได้อินกับบท และเดินเนื้อเรื่องไปด้วยกัน

5. ผู้สร้างเกมลืมตาอ้าปากด้วย Kick Starter ไม่ง้อค่ายเกม

ในการสร้างเกมอดีตนั้น ผู้พัฒนาเกม Developer จะต้องร่วมมือกับตัวแทนจำหน่าย Publisher ในการลงทุนสร้างเกมขึ้นมาาักเกมร่วมกัน และแบ่งรายได้กัน แต่ปัจจุบันมีช่องทางการหาทุนสร้างเกมแบบระดมทุน ผ่านเว็บไซต์อย่าง Kickstarter ทำให้ผู้พัฒนาเกมทั้งหลายสามารถสร้างเกมได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Publisher

6. ประเภทของเกมเมอร์เปลี่ยนไป

พูดถึงเกมเมอร์หลายคนก็คงจะคิดว่าเป็นผู้ชาย แต่ในปัจจุบันผู้หญิงเริ่มเล่นเกมกันมากขึ้น แม้จะยังไม่เยอะเท่าผู้ชายแต่ก็มีเพิ่มกว่าแต่ก่อนมาก เพราะมีแนวเกม Casual เข้ามามากขึ้นจากใน Facebook และอุปกรณ์พกพา และพอเมื่อผู้หญิงเหล่านี้เริ่มเล่นเกมเป็น เธอก็เริ่มแสวงหาเกมที่ฮาร์ดคอร์มากขึ้นจนสามารถเล่นได้หลากหลายแนว

7. เกมมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากกว่าเดิม

จากการที่ Facebook และอุปกรณ์พกพามีบทบาทกับชีวิตคนมากขึ้น เกมก็เข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้นจากทางนี้ ผู้คนที่ไม่เคยเล่นเกมพอมีมือถือก็ได้ลองเล่นเกมในมือถือกันดู มีการโฆษณาเกมกันมากขึ้น ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เกมจะมีให้เล่นแต่ในเครื่องคอนโซลหรือ PC

8. เกมสมาร์ตโฟนคือจุดเปลี่ยนของแทบทุกสิ่ง

หลายข้อที่กล่าวมาจะเห็นว่ามีหลายข้อที่เกี่ยวกับสมาร์ตโฟน หรืออุปกรณ์พกพา ใช่แล้ว Smart Device มีบทบาทสำคัญมากในการเปลี่ยนแปลงวงการเกมยุคนี้ ซึ่งจากการที่มันเข้าถึงง่าย ทำให้คนทั่วไปเล่นเกมกันได้มากขึ้น บริษัทเกมทั้งหลายจึงเน้นธุรกิจเกมมือถือกันมากขึ้น เพราะตลาดคนเล่นมือถือนั้นใหญ่กว่า อย่างไรก็ตามตลาดเกมเครื่องเก่าๆ ก็ยังคงมีแฟนพันธุ์แท้เล่นกันอยู่

9. Steam มีบทบาทมากในวงการเกม PC

ทุกวันนี้นึกถึงเกม PC ก็ต้องนึกถึง Steam เลย เกมกล่อง แผ่นเกม แทบไม่มีบทบาทกับเกม PC แล้ว ต้องชมเชยการตลาดของ Valve ที่ทำให้วงการเกม PC ดีขึ้นในวันนี้ เพราะ Steam ตีตลาดการขายเกมผ่านออนไลน์ไปทุกประเภทศทั่วโลก ทำให้ราคาเกม PC ใน Steam เป็นราคาที่ใครๆก็เข้าถึงได้ ไม่แพงเกินไป แถมมีลดราคากระหน่ำบ่อยมาก ที่เด็ดสุดคือนโยบาย Steam Refund เกมไหนไม่ดี ไม่สนุก ยินดีคืนเงิน

10. ช่องว่างระหว่างผู้สร้างเกม, เกมเมอร์ และค่ายเกม แคบลง

จากการที่เกมเข้าถึงคนได้มากขึ้น การแข่งขันก็มากขึ้นไปด้วย ผู้พัฒนาเกม ค่ายเกม ต่างก็กลัวเกมจะขายไม่ออก จึงมีการพูดคุยสื่อสารกับเกมเมอร์กันมากขึ้น เพื่อรับฟังความเห็น ฟีดแบค มาใช้ทำเกมให้ตรงความต้องการของเกมเมอร์มากกว่าเดิม ดังจะเห็นได้จากผู้สร้างเกม ค่ายเกม หรืออื่นๆ มักทำเพจใน Facebook หรือ Twitter หรือ Kickstarter แล้วออกมาพูดคุยกับเกมเมอร์อยู่เสมอๆ

Source: