รีวิว Dragon Quest XI Echoes of an Elusive Age ที่ยังคงความคลาสสิคให้ทุกอารมณ์

รีวิว Dragon Quest XI Echoes of an Elusive Age ที่ยังคงความคลาสสิคให้ทุกอารมณ์

รีวิว Dragon Quest XI Echoes of an Elusive Age ที่ยังคงความคลาสสิคให้ทุกอารมณ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Dragon Quest ชื่อของเกม RPG ระดับตำนานในสายตาของผู้เล่นเกมแดนอาทิตย์อุทัยชาวญี่ปุ่น แต่ว่าในสายตาเกมเมอร์ไทยแล้ว Dragon Quest เป็นเกมที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนักเมื่อเทียบเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง Final Fantasy อันเนื่องมาจากความยึดติดในระบบการเล่นและเนื้อหา ที่คงความคลาสสิคของตัวเกมเป็นส่วนมาก จึงทำให้ Dragon Quest ได้รับความนิยมมากแค่ในญี่ปุ่นที่นิสัยค่อนข้างชื่นชอบความคลาสสิค ในขณะที่คนไทยและทั่วโลกจะชอบ Final Fantasy มากกว่าเพราะมีการดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัย และเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นให้น่าสนใจอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะระบบหนึ่งที่เกมเมอร์ส่วนมากไม่ชอบนั่นก็คือ ไม่เห็นตัวละครขณะต่อสู้

จนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อทาง Enix ได้รวมเข้ากับ Square Soft จึงทำให้ Dragon Quest มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น อย่างรอบรับการให้ทีมงานนอกเข้ามาช่วยกันพัฒนาเกม จากแต่ก่อนทำกันแค่ในกลุ่มเล็กๆ ทำให้กว่าจะออกแต่ละภาครอกันเหงือกแห้ง ก็พัฒนาให้ออกได้เร็วขึ้น ยอมรับการใช้เอนจิ้นนอกช่วยทำให้ได้ภาพเกมที่สวยขึ้น และที่สำคัญคือยอมรับการเปลี่ยนแปลงระบบเกมหลายอย่าง ให้เห็นตัวละครขณะต่อสู้ และยังขยายตลาดให้ผู้เล่นต่างประเทศมากขึ้นด้วย

และในที่สุดก็มาถึง Dragon Quest XI Echoes of an Elusive Age ภาคที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่สุดเมื่อเทียบกับภาคเก่าๆที่ผ่านมา อย่างแรกก็คือการใช้เอนจิ้น Unreal 4 มาใช้พัฒนาตัวเกม ทำให้กราฟิกของภาคนี้สวยงามขึ้นผิดหูผิดตา การปรับระบบต่อสู้ใหม่เป็นแบบเทิร์นของแต่ละตัวละคร (แบบเก่าจะสลับเทิร์นแบบยกทีม) และระบบสกิลต่างๆ แต่ว่าแม้จะเปลี่ยนไปเยอะหลายอย่าง ตัวเกมก็ยังคงความคลาสสิคไม่ว่าจะด้านบรรยากาศการเล่นและเรื่องราวแฟนตาซี ทำให้ตัวเกมเหมาะที่จะเล่นได้ทั้งแฟนเกม Dragon Quest ดั้งเดิม หรือมือใหม่ที่อยากจะลองหันมาเล่น Dragon Quest  ดูก็ได้ ต่อไปเราจะลองเจาะลึกในหัวข้อต่างๆของ Dragon Quest XI Echoes of an Elusive Age กัน

 

กราฟิก

ด้วยพลังของเอนจิ้น Unreal 4 ทำให้เกมภาคนี้มีกราฟิกที่สวยงามขึ้นมากในเวอร์ชั่นเครื่อง PS4 และ PC โดยเฉพาะเรื่องของรายละเอียดปลีกย่อยของฉากฟิลด์แผนที่โลก ที่ลงลึกรายละเอียดความสวยงามของต้นไม้ใบหญ้า สายน้ำ แม้กระทั่งน้ำตกที่ไหลมาจากที่สูงก็ยังเก็บรายละเอียดครบถ้วน แถมยังสามารถมองเห็นรายละเอียดของฉากไปยังจุดที่อยู่ไกลๆได้อีกด้วย มีจุดติก็ตรงที่กราฟิกตอนที่อยู่ในเรือซึ่งกราฟิกดูด้อยลงกว่าตอนเดินบนฟิลด์อย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นการเก็บรายละเอียดก็ยังน่าชื่นชมอยู่ เสียก็ตรงที่ว่ากราฟิกเกมนี้เป็นแบบภาพการ์ตูนทำให้บางท่านอาจมองว่าไม่สวยเท่าใดนัก แต่ถ้าชอบการ์ตูนที่เป็นลายเส้นของ โทริยะมะ อะกิระ ผู้วาด Dragon Ball อยู่แล้วก็โอเค

 

เนื้อเรื่อง

จุดที่ยังคงความคลาสสิคของ Dragon Quest ไว้มากที่สุดก็คือเนื้อเรื่อง ที่ยังคงเป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างผู้กล้าที่เกิดมามีหน้าที่ต้องไปปราบจอมมารอยู่ทุกๆภาคไป แต่ว่าแม้จะใช้มุกเดิมๆ ทาง Dragon Quest ก็ยังสามารถวางพล็อตเรื่องให้ต่างกันไปในแต่ละภาคได้อย่างลงตัว ทำให้ผู้เล่นรู้สึกสนุกและอินไปกับบทอย่างเข้าใจได้ไม่ยากนัก อย่างเช่นในภาคนี้ตัวเอกที่ควรจะได้รับการยกย่องในฐานะผู้กล้านั้น กลับถูกมองว่าเป็นลูกของมารร้ายที่นำหายนะมาสู่โลกแทนซะงั้น เป็นจุดทีทำให้น่าติดตามว่าเหตุการณ์เบื้องหลังเป็นมาอย่างไร นอกจากนี้บทของตัวละครอื่นๆก็มีส่วนร่วมกับเรื่องราวอย่างมาก แต่ละตัวละครก็มีลักษณะนิสัยต่างกันไป ทำให้ตัวเกมสื่อถึงอารมณ์ได้ทุกรสชาติ ทั้งความตลกเฮฮา และดราม่าสุดเศร้าที่จะเรียกน้ำตาจากผู้เล่นได้อย่างแน่นอน

 

ดนตรี

ในส่วนนี้เข้าใจว่าผู้สร้างเกมต้องการสื่อถึงความคลาสสิคของเกมและเนื้อเรื่อง จึงได้มีการเอาเนื้อหาและเพลงบางส่วนจากภาคเก่าๆมาใช้ ซึ่งส่วนมากเป็นภาค Dragon Quest 3 ที่เป็นภาคต้นกำเนิดผู้กล้าโรโต้ แต่เอามาใช้ซะเยอะเกินไปหน่อยจนรู้สึกเหมือนมักง่าย เพราะเพลงของภาคอื่นๆบางส่วนก็มีการนำมาใช้ใหม่ซะเยอะ ไม่ว่าจะเป็น Dragon Quest 5, Dragon Quest 6 และ Dragon Quest 8 ถ้าเล่นมาทุกภาคจะรู้ทันทีว่าเพลงไหนเอามาจากภาคไหนบ้าง และรู้สึกเลยว่าเพลงใหม่จริงๆของภาคนี้มีน้อยมาก

 

ระบบเกมเพลย์

ระบบการเล่นไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก ในส่วนของการต่อสู้ยังคงใช้การเล่นแบบ Turn Base อยู่ แต่ว่าเปลี่ยนมาใช้การสลับเทิร์นแต่ละตัวละครแทน ซึ่ง Dragon Quest ภาคเก่าๆนั้นจะใช้การสลับเทิร์นแบบยกทีม คือให้ผู้เล่นใส่คำสั่งทั้งทีมก่อนเทิร์น และแต่ละตัวละครก็จะสู้ตามค่าที่ตั้งไว้ขึ้นกับค่าความเร็วตัวละคร แต่ว่าภาคนี้และภาคหลังๆที่ผ่านมาจะใช้แบบสลับเทิร์นตัวละคร ใส่คำสั่งไปทีละตัวๆเอา ไม่ต้องมานั่งใส่คำสั่งทั้งทีมก่อนแล้ว จึงสะดวกและทันสมัยขึ้น แต่ถ้าขี้เกียจใส่คำสั่งเกมก็ยังมีระบบตั้งแผนต่อสู้อัตโนมัติให้ สมาชิกในทีมก็จะสู้ออโต้แบบแผนที่เลือกซึ่งก็ทำไม่ค่อยได้ดังใจนักในบางที

นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มระบบ Free Movement Battle ที่ให้ผู้เล่นบังคับตัวละครได้อิสระในขณะต่อสู้ แต่มันไม่ได้ช่วยให้หลบการโจมตีของศัตรูได้หรอกนะ แค่ทำให้เดินเล่นได้ตามใจชอบเท่านั้นเอง ก็ข้องใจเหมือนกันว่าทำมาเพื่ออะไร ข้อดีของระบบต่อสู้ภาคนี้คือใช้แบบ Free Encounter เห็นมอนสเตอร์ในฉาก ให้ผู้เล่นเลือกได้ว่าจะเข้าไปสู้หรือจะเลี่ยง ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะกว่าระบบ Random Encounter ซึ่งจริงๆระบบนี้ก็เปลี่ยนใช้มาตั้งแต่ DQ9 แล้ว นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มแอคชั่นในฉากฟิลด์มากขึ้น ให้สามารถกระโดดหาของตามจุดที่คาดไม่ถึงได้ รวมถึงยังมีแอคชั่นจากสัตว์ขี่ประเภทต่างๆในแต่ละจุด

ระบบการเล่นที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือระบบ Skill ที่เปลียนจากการใส่ Sklii point เรียงไปตรงๆ มาเป็นใช้ Skill point ในแบบกระดาน skill panel แทน จึงทำให้ผู้เล่นเลือกใช้แต้มสกิลได้อิสระกว่าเดิม และวางแผนได้ง่ายขึ้นว่าจะเลือกเรียนสกิลด้านไหน แถมยัง Rset Skill ได้ที่รูปปั้นจุดเซฟ แต่ข้อเสียเรื่องสกิลก็ยังเหมือนเดิมคือสกิลของแต่ละอาวุธมันซ้ำซ้อนกันเกินไป น่าจะแยกสกิลตัวละครที่สามารถใช้อาวุธเหมือนกันให้แตกต่างกันกว่านี้หน่อย ระบบสกิลภาคนี้ยังมีอีกอย่างคือมีท่าผสานในระบบ Zone หรือ Pep ของภาค Eng ซึ่งตัวละครที่มีสถานะ Pep จะมีสกิลพิเศษเพิ่มมาให้ใช้ซึ่งสามารถใช้ท่าผสานกับตัวละครอื่นๆได้ นอกจากนี้ตัวละครที่มีสถานะ Pep จะได้รับโบนัสค่าพลังบางอย่างเพิ่มด้วย (แต่ละตัวละครจะไม่เหมือนกัน)

ระบบที่น่าปลื้มอีกอย่างใน Dragon Quest XI Echoes of an Elusive Age ก็คือระบบตั้งแคมป์ ที่ช่วยให้ประหยัดเงินในเกมไปได้อย่างมากๆ เพราะ DQ ขึ้นชื่อเรื่องหาเงินยากอยู่แล้ว ขนาดตีมอนสเตอร์ช่วงเลเวล 40 ยังได้ทีละ 200-300 เอง ผู้เล่นสามารถตั้งแคมป์ได้ตามจุดที่กำหนดไว้ในฟิลด์ ข้อมูลของการตั้งแคมป์ไม่ใช่แค่นอนฟรีเท่านั้น แต่ยังมีระบบการตีอุปกรณ์ที่เรียกว่า fun sized forge ด้วย ทำให้สามารถตีอาวุธหรือเกราะดีๆมาใส่ได้ โดยไม่ต้องเสียเงินไปซื้อของแพงๆในร้าน เพียงแค่หาวัตถุดิบที่กำหนดให้ครบก็ได้ของมาใส่ฟรีๆแล้ว ซึ่งพวกวัตถุดิบก็หาไม่ยากนักด้วย เป็นระบบที่ช่วยให้ประหยัดเงินได้มากเลย  แถมอาวุธ ชุดเกราะ หรือเครื่องประดับที่ตีเอง ถ้าตีดีๆสามารถเพิ่มพลังของอุปกรณ์ได้มากกว่าด้วย โดยเพิ่มได้มากสุดที่ +3 สามารถดู Stat ของอุปกรณ์แต่ละชนิดได้โดยการกด สี่เหลี่ยม ว่า+1 +2 +3 ได้ค่าพลังขึ้นแค่ไหน แต่ว่าของบางอย่างก็ตี+ไม่ได้นะ

สรุปข้อดีของ Dragon Quest XI Echoes of an Elusive Age

  • เป็นเกมภาคที่ปรับปรุงระบบการเล่นได้ดี ในขณะที่ยังคงความคลาสสิคอยู่
  • กราฟิกสวยงาม เก็บรายละเอียดอย่างดี ด้วยพลังของ Unreal  Engine 4 แต่ก็สวยแบบภาพการ์ตูนนะ ถ้าอยากเน้นสมจริงขอเชิญเกมอื่น
  • เนื้อเรื่องที่คลาสสิคแต่ชวนให้ติดตาม มีครบทุกรสชาติ ทั้งสุขสันต์ ขำขัน เฮฮา ดราม่า ทะลึ่งลามก และเศร้าจนน้ำตาร่วง
  • มีระบบช่วยเล่น ระบบนำทาง ระบบเล่าเรื่องย้อนความ ทำให้เล่นง่าย ไม่ต้องเปิดบทสรุปก็เล่นได้

สรุปข้อขัดใจของ Dragon Quest XI Echoes of an Elusive Age

  • เพลงประกอบและมุกเนื้อเรื่องบางส่วนหากินของเก่ามากเกินไป
  • กราฟิกในบางจุด (อย่างเช่นตอนนั่งเรือ) ดูน่าจะทำได้ดีกว่านี้
  • ตัวละครที่เดินในฟิลด์ เลือกเปลี่ยนไม่ได้ (อยากเปลี่ยนตัวละครสาวๆเดินแทนอ่า)
  • ชื่อตัวละคร ชื่อท่า ชื่อคาถา ถูกเปลี่ยนไปมากในเวอร์ชั่น English จนแฟนๆบางคนไม่พอใจ (ผมด้วย)

สรุปคะแนน ส่วนตัวผมให้ 8/10

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook